ภาพการลงทุน หลังเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ

การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐที่เพิ่งผ่านพ้นไป หากดูเผินๆเหมือนจะเป็นไปตามคาดที่ว่า พรรครีพับลิกันชนะในสภาล่าง ส่วนสภาบนค่อนข้างสูสี ทว่าหากพิจารณาไส้ในดูจริงๆแล้ว พบว่ามีอะไรใหม่หลายอย่างที่น่าสนใจในการเรียนรู้

726

ต้องบอกว่าการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐที่เพิ่งผ่านพ้นไป หากดูเผินๆเหมือนจะเป็นไปตามคาดที่ว่า พรรครีพับลิกันชนะในสภาล่าง ส่วนสภาบนค่อนข้างสูสี ทว่าหากพิจารณาไส้ในดูจริงๆแล้ว พบว่ามีอะไรใหม่หลายอย่างที่สามารถเรียนรู้ได้ อาทิ ชาวอเมริกันคิดอะไรอยู่กับทั้ง 2 พรรค รวมถึงนโยบายหลักๆในด้านต่างๆของสหรัฐน่าจะเป็นไปในทิศทางใด ดังนี้

  1. โจ ไบเดน ยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2024 โดยก่อนอื่นต้องบอกว่าแม้พรรคเดโมแครตจะมีคะแนนเสียงเป็นรองพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรประมาณ 20 เสียง จากที่เลือกผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 ท่าน ทว่ายังถือว่าดีกว่าที่โพลหลายสำนักทายไว้ก่อนหน้า นอกจากนี้ ผลคะแนนเสียงในวุฒิสภา ณ ตอนนี้ มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่คะแนนที่จะตัดสินความเป็นเสียงข้างมากของทั้งสองพรรค จะต้องรอไปถึงเดือนมกราคมปีหน้า ถึงจะทราบผลจากการชิงชัยแบบ Run-off ในรัฐจอร์เจีย ซึ่งถือว่าก็ดีกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าเช่นกัน

ที่สำคัญ รัฐสำคัญๆที่จะเป็น Swing Vote ในการชิงชัยผู้นำสหรัฐในปี 2024 อย่าง เพนซิลเวเนีย และ อริโซน่า ยังคงเป็นของพรรคเดโมแครต แม้ว่า รัฐเนวาดาจะยังเป็นของพรรครีพับลิกันก็ตามที

ดังนั้น ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ใช้การคำนวณแบบรัฐใดชนะก็เอาคะแนนไปทั้งรัฐ โดยคะแนนที่ได้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประชากรของรัฐนั้นว่ามีมากหรือน้อยแค่ไหน ทำให้คาดกันว่าไบเดนยังน่าจะทำได้ค่อนข้างดีในการเลือกตั้งอีก 2 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ดี การที่ไบเดน เมื่อถึงเวลานั้น อายุจะปาเข้าไป 86 ปีแล้ว บรรดาสมาชิกพรรคเดโมแครตน่าจะเรียกร้องให้เขาลงจากตำแหน่งตัวแทนพรรค พร้อมกับมีคนดังหลายท่านที่จ่อจะมาเป็นตัวแทนพรรคอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ฮิลลารี คลินตัน หรืออาจจะหมายรวมถึง มิเชล โอบาม่า ด้วย ซึ่งบรรยากาศการแข่งขันในพรรคเดโมแครตก็น่าจะกลับมาดุเดือดอีกรอบหนึ่งในตอนนั้น

  1. โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาในปี 2024 แน่ๆ ทว่าก็ไม่ง่ายที่จะถึงฝั่งฝันอีกครั้ง

โดยแม้ว่าจะดูโดยผิวเผิน เหมือนทรัมป์จะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งรอบนี้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาให้ดี จะพบว่าก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว เนื่องจากคู่แข่งสำคัญที่รอชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันเพื่อสู้ศึกชิงผู้นำสหรัฐ ปี 2024 อย่าง รอน เดซานติส ที่ในครั้งนี้ ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐฟลอริดาแบบท่วมท้น น่าจะมีความชัดเจนขึ้นอีกว่าจะเป็นคู่ชิงดำกับทรัมป์ในตำแหน่งตัวแทนพรรคอย่างแน่นอน ในขณะที่เด็กภายใต้สังกัดทรัมป์ แม้จะชนะในหลายรัฐ ทว่าก็มาพลาดในรัฐใหญ่อยู่ไม่น้อยเช่นกัน อาทิ รัฐเพนซิลเวเนีย ที่แพ้ให้กับตัวแทนพรรคเดโมแครต ซึ่งตรงนี้ ทั้งทรัมป์และไบเดน รวมถึงบารัก โอบามา ต่างเดินทางมาช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของตนเองที่รัฐนี้เป็นรัฐสุดท้าย ซึ่งตรงนี้ อย่างน้อยก็วัดได้ว่าทรัมป์ยังมีคะแนนไม่สู้ดีมากนักในบรรดารัฐ Swing State

  1. อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งครั้งนี้นำมาซึ่งบรรยากาศที่ผู้นำใน White House เป็นของเดโมแครต ส่วนสภาล่างเป็นของรีพับลิกันแต่คะแนนก็ไม่ท่วมท้นเหมือนดังคาด โดยคาดว่าต้องรอลุ้นสภาสูงว่าพรรคใดจะได้คะแนนมากกว่ากันในต้นปีหน้า ซึ่งก็ต้องบอกว่าทั้งสองสภาแม้จะมีเสียงที่ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่ ทว่าเป็นการเปลี่ยนขั้วการเป็นผู้นำในสภาล่างที่ทำให้มีโอกาสจะเกิดประเด็นหนี้สหรัฐเกินเพดาน (Debt Ceiling) ได้สูงขึ้น ซึ่งตรงนี้เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียพร้อมๆกันต่อไบเดน

โดยข้อดีคือน่าจะทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ได้แบบทันถ่วงทีจากการลดงบประมาณภาครัฐจากฝั่งรีพับลิกัน ซึ่งทำให้เมื่อใกล้วันเลือกตั้งในอีก 2 ปีข้างหน้า ผลโพลน่าจะไหลมาฝั่งเดโมแครต เนื่องจากเศรษฐกิจเมื่อถึงตรงจุดนั้น ตัว Recession น่าจะผ่านพ้นไประยะหนึ่งแล้ว  อย่างไรก็ดี ข้อเสียคือภารกิจที่ไบเดนพยายามผลักดันอย่างพลังงานสีเขียวจะต้องลดระดับความเข้มข้นลงไปเนื่องจากงบประมาณที่ถูกตัดทอนลง หรือนโยบายการคลังผ่อนคลายอยู่ในโทนที่น้อยลงจากเสียงฝั่งรีพับลิกันที่จะมีมากขึ้นในสภาล่างหรือทั้ง 2 สภา

นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดน่าจะทำงานง่ายขึ้นในช่วงหลังเลือกตั้งกลางเทอม โดยการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อน่าจะทำได้แบบสะดวกโยธิน เนื่องจากรัฐบาลและฝ่ายค้านคงไม่มีแรงจูงใจอะไรที่จะมาเบรกเฟดไม่ให้ทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวในช่วงนี้ เนื่องจากอีกนานกว่าจะเลือกตั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตรงนี้ ทำให้งานของเฟดที่จะสู้กับอัตราเงินเฟ้อทำได้สำเร็จง่ายขึ้น

โดยจากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวข้างต้น จึงนำมาซึ่งมุมมองการลงทุนของผม โดยประเมินว่าตลาดตราสารหนี้สหรัฐน่าจะดูดีขึ้น รวมถึงอาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐในปีหน้าสดใสขึ้นกว่านี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะตรงกับสถิติในอดีตที่ว่า หลังเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐในช่วง 3-12 เดือนถัดไป ตลาดหุ้นสหรัฐมักจะดูดีขึ้นในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากรีพับลิกันสามารถครองสภาล่างได้

ที่มาภาพ: BBC

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

 

Comments