7 หุ้นปันผลเด่นของตลาดสหรัฐ

ในช่วงนี้ เริ่มมีแนวคิดใหม่ในการกระจายสินทรัพย์ของนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณ ที่แนวทางการลงทุนเปลี่ยนไปจากเดิม เริ่มมีผู้เชี่ยวชาญหลายสำนัก เริ่มจะแนะนำให้นักลงทุนที่เน้นการออมเพื่อการเกษียณ มาถือครองหุ้นคุณภาพดีที่เน้นการจ่ายเงินปันผลมากกว่า

1055

ในช่วงนี้ เริ่มมีแนวคิดใหม่ในการกระจายสินทรัพย์ของนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นวัตถุประสงค์เพื่อการเกษียณ ที่แนวทางการลงทุนเปลี่ยนไปจากเดิม

แนวคิดการลงทุนใหม่นี้มักจะแนะนำให้มีการแบ่งเงินลงทุนเป็นสองส่วน ได้แก่ หุ้น และ บอนด์หรือหุ้นกู้ อย่างไรก็ดี จากปรากฏการณ์บรรยากาศอัตราดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก ส่งผลให้ผู้ที่กระจายเงินลงทุนตามแนวทางดังกล่าว ได้รับผลตอบแทนที่ติดลบกว่าร้อยละ 2 ณ ช่วงกลางปีนี้

จึงเริ่มมีผู้เชี่ยวชาญหลายสำนัก เริ่มจะแนะนำให้นักลงทุนที่เน้นการออมเพื่อการเกษียณ มาถือครองหุ้นคุณภาพดีที่เน้นการจ่ายเงินปันผลมากกว่า โดยที่จะได้รับทั้งรายได้จากเงินปันผลไว้เพื่อเป็นเงินใช้จ่ายประจำ และได้ผลประโยชน์จากการเติบโตของราคาหุ้น หรือนั่นเป็นการเพิ่มขนาดก้อนเค้กเงินออมของตนเองอีกด้วย

ทางสื่อของดาวน์โจนส์ได้แนะนำ 7 หุ้นปันผลเด่นของตลาดหุ้นสหรัฐ ที่เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์ในการออมเพื่อเกษียณในรูปแบบใหม่ดังกล่าว ตามนี้

 

  1. AT&T โดยหุ้นกลุ่มสื่อสารและบันเทิงรายนี้ ถือว่ามีเรื่องราวมากมายให้พูดถึง อาทิ ล่าสุด การเข้าซื้อ Discovery สื่อดังของสหรัฐ พร้อมกับเตรียมแยกกลุ่มธุรกิจบันเทิงของตนเองออกมา พร้อมตั้งเป็นบริษัทใหม่ที่ประกอบด้วย Discovery และ WarnerMedia  มูลค่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มธุรกิจที่มี Content ของภาพยนตร์และสารคดีพร้อมอยู่อย่างมากมาย

หุ้น AT&T เป็นที่สนใจของนักลงทุนที่ชอบปันผล เนื่องจากจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยถึงร้อยละ 7 โดยแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่มีปริมาณหนี้อยู่ในระดับหนึ่ง ทว่าด้วยกระแสเงินสดอิสระหลังหักการลงทุนด้านเงินทุนหรือ Capex ถึง 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้หุ้น AT&T ยังคงจะเป็นหุ้นเด่นแนวที่เน้นปันผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอห์น แสตนคีย์ CEO ของบริษัทย้ำว่าการเน้นจ่ายเงินปันผลที่ดีจะเป็นแนวทางของบริษัทในระยะยาว

 

2.Coca-Cola ถือเป็นหุ้นที่วอเรน บัฟเฟต์ ชื่นชอบมาหลายสิบปี และล่าสุดก็ได้ออกแคมเปญโฆษณา ‘Coke adds life’ ซึ่งได้นำมาแพร่ภาพในบ้านเราด้วยในช่วงนี้ โดยแม้ว่า Coke จะมีรายได้และกำไรต่อหุ้นลดลงร้อยละ 11 และ 8 ในปี 2020 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด ทว่าในปีนี้ คาดว่ารายได้จะเพิ่มจนมีมูลค่าที่ใกล้เคียงกับปี 2019 จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นของ Coke ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้สะท้อนการคาดการณ์ดังกล่าว โดยขึ้นมาราวร้อยละ 7 จากเมื่อ 3 เดือนก่อน

ทั้งนี้ Coke ยังได้ประกาศให้การจ่ายเงินปันผลมีความสำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากการลงทุนกลับไปยังธุรกิจหลักของตนเอง

 

3. IBM ในปีนี้ ราคาหุ้น IBM ได้ขึ้นไปราวร้อยละ 18 จากต้นปี มากกว่า ผลตอบแทนของ S&P 500 ประมาณร้อยละ 4 อย่างไรก็ดี หากมองในระยะยาวขึ้นมา หุ้น IBM ก็ยังมีผลประกอบการที่ไม่ได้โดดเด่นมาก เพราะมีอัตราการเติบโตของรายได้ที่ค่อนข้างอ่อนแอ

อย่างไรก็ดี เริ่มจากเมื่อปีที่แล้ว ทาง IBM  ได้เริ่มเปลี่ยนรูปแบบโมเดลในการทำธุรกิจใหม่ ได้ทำการซื้อ Red Hat บริษัทที่ทำธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์ม Cloud แบบลูกผสมด้วยรูปแบบของเงินสดและหนี้ มูลค่า 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่ง Red Hat ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ยอดขายในปี 2020 มีการเติบโตถึงร้อยละ 18 ซึ่งย่อมส่งผลต่อยอดขายของผลิตภัณฑ์ของ IBM เดิมเองให้มีการเติบโตตามด้วยเช่นกัน

ที่สำคัญ IBM จ่ายเงินปันผลด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลล่าสุดที่ร้อยละ 5 ซึ่งผู้บริหารของ IBM ยังยืนยันในการดำรงนโยบายดังกล่าว

 

4. Johnson & Johnson ที่ถึงในตอนนี้ คงจะเป็นที่รู้จักและติดปากในบ้านเรา จากการที่กำลังเป็นวัคซีนโควิดที่สามารถฉีดเพียงเข็มเดียวแบรนด์แรกๆ โดยจุดเด่นของ Johnson & Johnson คือ หนึ่ง การที่มีแหล่งรายได้จากธุรกิจที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ในหมวดบริโภคทั่วไปและยารักษาโรคในร้านขายยา สอง มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอยู่อย่างสม่ำเสมอ ที่กำลังพัฒนาในห้องแล็บเพื่อรอการรับรองจากทางการเพื่อที่จะขายต่อประชาชน และท้ายสุด มีกระแสเงินสดอิสระที่ผลิตออกมาอย่างสม่ำเสมอ  โดยเมื่อปีที่แล้ว จ่ายเงินสด 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ในรูปของเงินปันผล หรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่ากระแสเงินสดอิสระ

 

5. Kellogg หากจะหาหุ้นที่ขายผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์อาหารซึ่งผูกพันกับครอบครัวในห้องครัวและหน้าทีวี มาอย่างยาวนาน หนึ่งในชื่อแรกๆที่ผุดขึ้นมาในหัวของหลายคน ได้แก่ Kellogg ไม่ว่าจะเป็น Special K หรือ Pringles โดยมีผลิตภัณฑ์หลัก 4 ประเภท ได้แก่ ของทานเล่น ซีเรียล อาหารแช่แข็ง และบะหมี่สำเร็จรูป

ในส่วนของมูลค่าหุ้นของ Kellogg ล่าสุด มีกำไรต่อหุ้น ที่ 4.01 ดอลลาร์ คิด P/E เป็น 15.3 เท่า ซึ่งน่าจะถือว่าราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับพอร์ตโฟลิโอของบริษัทที่ประกอบไปด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆที่หลากหลายและติดตลาดมาอย่างยาวนาน โดยมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ร้อยละ 3.7

 

6. Procter & Gamble หรือ P&G ชื่อนี้ คงไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของตัวแบรนด์ เชื่อว่าในบ้านของแทบทุกท่าน ต้องเคยซื้อผลิตภัณฑ์ของ P&G ไม่น้อยกว่า 1 ชิ้น โดย P&G  ยังคงเป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลแบบไม่มีแผ่วลง แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์โควิดก็ตาม รวมถึงยังได้ประโยชน์บางส่วนจากมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงโควิด เนื่องจากมีการกักตุนสิ่งจำเป็นของประชาชนในที่อยู่อาศัย อาทิ กระดาษชำระหรือทิชชู่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของ P&G โดยที่กำไรต่อหุ้นยังคาดว่าจะเพิ่มเป็น 5.7 ดอลลาร์ต่อหุ้น ในครึ่งปีแรกของปี 2021 เทียบกับ 5.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น เมื่อปีที่แล้ว

 

7. U.S. Bancorp Bancorp ถือเป็นหุ้นแบงก์แนว Regional Bank หรือแบงก์ท้องถิ่นที่แข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะมองในมุมของพอร์ตสินเชื่อหรือคุณภาพของสินเชื่อก็ตามที โดยหากเศรษฐกิจสหรัฐที่หลายคนมองว่าน่าจะเติบโตร้อนแรงที่สุดในช่วงปลายปีนี้ รวมถึงระดับความชันของเส้นโค้งอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่สูงขึ้น น่าจะเป็นผลดีต่อประโยชน์ต่อธุรกิจของ Bancorp ซึ่งมีพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย อันประกอบด้วยธุรกิจสินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่ สินเชื่อลูกค้ารายย่อย Wealth Management และบริการการชำระจ่ายเงิน รวมถึงธุรกิจบัตรเดบิตและเครดิต

โดยหุ้น Bancorp จ่ายเงินปันผล 42 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาสที่ผ่านมา หรือให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ร้อยละ 3 โดยคาดว่าผลประกอบการของ Bancorp ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังน่าจะดีขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมาได้อีก

 

บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

 

Comments