ภาพตลาดสหรัฐ หลังประชุมเฟดล่าสุด

บทความนี้ จะขอประเมินภาพตลาดสหรัฐ หลังประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดในต้นเดือนที่ผ่านมา กับ การล้มลงของ First Republic Bank ว่าจะเกิดอะไรต่อไปต่อจากนี้

733
(Photo by Drew Angerer/Getty Images)

บทความนี้ จะขอประเมินภาพตลาดสหรัฐ หลังประชุมธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดในต้นเดือนที่ผ่านมา กับ การล้มลงของ First Republic Bank ว่าจะเกิดอะไรต่อไปต่อจากนี้

  • ผลการประชุมเฟดในวันที่ 2-3 พ.ค. 2023 ที่ผ่านมา?

ไฮไลต์ในการประชุมเฟดครั้งที่ผ่านมา คือ เฟดจะไม่การันตีว่าจะขึ้นดอกเบี้ย ในการประชุมครั้งถัดๆไป เหมือนในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมาแล้ว โดยจะให้ดูข้อมูลหน้างานในแต่ละครั้งไปสำหรับการประชุมในอนาคต โดยส่วนหนึ่งมาจากปัญหาของ Regional Bank นับตั้งแต่ SVB Bank, Signature Bank, และ First Republic Bank จนมาถึง PacWest ในขณะนี้

ในภาพรวม เจย์ พาวเวล ประธานเฟดพยายามจะลดความสำคัญของผลเสียจากปัญหาอัตราเงินเฟ้อลง โดยพยายามชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง โดยพิจารณาจากตลาดแรงงานที่ยังไม่ยุบ แม้ว่าค่าจ้างยังเติบโตในระดับที่สูงกว่า 4% ทว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่ผ่านมานั้น ไม่ได้ขับเคลื่อนหรือได้รับอิทธิพลจากค่าจ้างมากเท่าไหร่ ซึ่งนั่นทำให้พาวเวลมองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยไม่ใช่กรณีฐานของเขาในตอนนี้ เขาเชื่อว่ามี Path หรือช่องทางที่ไม่แคบมากที่เศรษฐกิจสหรัฐจะออกจาก ปัญหาเงินเฟ้อโดยที่ไม่เกิด Recession ได้ อย่างไรก็ดี พาวเวลยังคงย้ำว่า เงินเฟ้อที่ในตอนนี้ ยังคงอยู่ในระดับ 5% ถือว่า ยังสูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Core Non-Housing Service Inflation ที่พาวเวลให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

โดยสรุป พาวเวลเชื่อว่าตัวเลขเงินเฟ้อยังสูงอยู่ ส่วน recession ไม่น่าเกิดเนื่องจากตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง และค่าจ้างที่ไม่ลดลง ณ ตรงนี้ ไม่น่ามีผลต่อเงินเฟ้อสหรัฐให้อยู่ในระดับสูงต่อไปนานมาก

  • เรื่อง Bank Run ในสหรัฐฯ

สำหรับภาพตลาดสหรัฐในช่วงถัดไป ผมมองว่าตลาดจะค่อนข้างผันผวนจาก ปัจจัยปัญหา Regional Bank สหรัฐ โดยระดับอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในระดับสูงยังกดดัน Regional Bank ที่เหลือ ซึ่งแม้ว่าแบงก์ที่เหลือในกลุ่มนี้ จะมีขนาดไม่ใหญ่เท่า SVB Bank หรือ First Republic Bank ทว่าหากมีแบงก์ล้มอีกจำนวนหลายแบงก์จนเกินไป จะทำให้ตลาดไม่เชื่อคำพูดของพาวเวลที่ว่ากรณีฐานของเศรษฐกิจสหรัฐ คือ ไม่เกิด Recession จนอาจมีแรงขายค่อนข้างมากในตลาด ในทางกลับกัน หากเฟดเห็นท่าไม่ดีจากการส่อเค้าว่าจะเกิดการล้มลงของ Regional Bank รายต่อๆไปในอนาคต แล้วรีบทำการลดดอกเบี้ยก่อน ตลาดก็น่าจะตอบรับแนวทางดังกล่าวด้วยแรงซื้อที่ค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน

สำหรับในประเด็นผลของการล้มลงของ First Republic Bank ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ รวมถึงผลกระทบในภาพรวมต่อไปหลังจากนี้

ผมมองว่าหากพิจารณาจากระบบธนาคารโดยรวมของสหรัฐ อาจจะไม่ถือว่ากระทบต่อเสถียรภาพของระบบแบงก์กิ้งของสหรัฐมากเท่าไรนัก แม้ว่า First Republic Bank จะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 สำหรับบรรดาแบงก์ที่เคยล้มในสหรัฐตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา เนื่องจากปริมาณเงินฝากของ First Republic Bank มีอยู่ไม่ถึง 1% ของปริมาณเงินฝากทั้งระบบของสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ผมไม่คิดว่า First Republic Bank จะเป็นแบงก์สุดท้ายที่จะเกิดปัญหาในรอบนี้ ยังมีแบงก์ที่มีขนาดเล็กกว่านี้ ที่มีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ขาดสภาพคล่อง จากความแตกต่างของอายุตราสารระหว่างฝั่งสินทรัพย์และฝั่งหนี้สิน ทว่าก็ไม่คิดว่าจะลุกลามจนเป็นระดับวิกฤตการเงินของสหรัฐในรอบใหม่เช่นกัน

โดยสรุป คือ ยังมองว่าระบบธนาคารของสหรัฐยังถือว่าแข็งแกร่งอยู่ในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบงก์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 อย่าง JP Morgan Chase ได้ประโยชน์เต็มๆจากการซื้อ First Republic Bank ในรอบนี้ เนื่องจากหากเป็นเวลาปกติ แล้ว ตามกฎหมายสหรัฐ JP Margan จะไม่สามารถซื้อกิจการของ First Republic Bank ได้

ซึ่งแน่นอนว่า ปัญหานี้ไม่มีความเชื่อมโยงกับระบบธนาคารในบ้านเราแบบมีนัยยะสำคัญ

สำหรับด้านความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันการเงินนั้น

แน่นอนว่า ประชาชนมีแนวโน้มจะหันไปฝากเงินกับแบงก์ใหญ่มากกว่าแบงก์เล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็น Regional Bank โดยส่วนหนึ่งอาจไปลงทุนในตลาดกองทุนรวมตลาดเงินมากกว่า

นอกจากนี้ แบงก์ที่มีสถานะแบบ Global Systemic Important Bank หรือ G-SIB น่าจะมีเงินฝากไหลเข้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ฝากเงินที่เป็นประเภท High Networth

  • ผลของ Recession ในภาคส่วนอื่นๆ

คาดว่าจะเกิดสภาพที่สินเชื่อของสหรัฐจะตึงตัวมากขึ้น ในไตรมาส 2 นี้ โดยสิ่งนี้ จะส่งผลกระทบต่อจีดีพีของสหรัฐในไตรมาส 2 อย่างค่อนข้างแน่นอน และจะทำให้โอกาสของการเกิด Recession ในสหรัฐจะมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากขึ้น

  •  Impact ต่อตลาดเงินตลาดทุนในระยะต่อไป

เหมือนว่าจะมี 2 แรงที่มีทิศทางตรงข้ามกันอยู่ สำหรับผลของ bank run ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ นั่นคือ ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจจริงและปริมาณสินเชื่อที่จะปล่อยในไตรมาส 2 น่าจะมีแนวโน้มที่จะแย่ลง อย่างไรก็ดี หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐในช่วงไตรมาส 2 สามารถลดลงได้ในระดับหนึ่ง ธนาคารกลางสหรัฐก็น่าจะสามารถหยุดการขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป

ดร. บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

Comments